นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ( Privacy Policy)
1.หลักการและวัตถุประสงค์
บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (ต่อไปนี้จะเรียกรวมว่า “บริษัท”) ตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้จัดทำนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy) ขึ้น โดยนโยบายนี้ได้อธิบายถึงวิธีการที่บริษัทจะปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การเก็บรวบรวม การจัดเก็บรักษา การใช้ การเปิดเผย รวมถึงสิทธิต่างๆ ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น เพื่อให้เจ้าของข้อมูลได้รับทราบถึงนโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท บริษัทจึงประกาศนโยบายฯดังต่อไปนี้
2.ขอบเขตของนโยบาย
นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายวิธีการที่บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล รวมถึงสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
3.คำนิยาม
3.1.ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง ข้อมูลใดๆ ซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ โดยแบ่งข้อมูลส่วนบุคคลออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป หมายถึง ชื่อและนามสกุล เพศ วันเดือนปีเกิด อายุ ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล หรือข้อมูลที่สามารถนำมาแยกแยะและสามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ แล้วสามารถบ่งบอกได้ว่าบุคคลนั้นเป็นใคร
- ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลด้านสุขภาพ ความพิการ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกัน
3.2.ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่ง มีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
3.3.ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคล ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ ไม่ถือเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
3.4.พนักงาน หมายถึง บุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้ทำการรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
3.5.บุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดา
4.การเก็บ รวบรวม ใช้ ข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทจะทำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยกระทำภายใต้วัตถุประสงค์ และเพียงเท่าที่จำเป็นแก่การดำเนินงานภายใต้วัตถุประสงค์ของบริษัทเท่านั้น ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบก่อน หรือในขณะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ถึงรายละเอียดดังต่อไปนี้
4.1.วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม
4.2.ข้อมูลส่วนบุคคลที่ทำการเก็บรวบรวมข้อมูล
4.3.กรณีที่เจ้าของข้อมูลต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อปฏิบัติตามกฏหมายหรือสัญญา หรือเพื่อเข้าทำสัญญาโดยจะต้องแจ้งถึงผลกระทบที่เป็นไปได้จากการไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลให้เจ้าของข้อมูลรับทราบด้วย
4.4.ประเภทของบุคคล หรือหน่วยงาน ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมอาจถูกเปิดเผย
4.5.สิทธิของเจ้าของข้อมูล
5.การใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทจะทำการเก็บรวบรวม หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานของบริษัท เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การทำสัญญา การทำธุรกรรมทางการเงิน การดำเนินกิจกรรมบริษัท การติดต่อประสานงานต่างๆ หรือเพื่อปรับปรุงคุณภาพของการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำฐานข้อมูล วิเคราะห์และพัฒนากระบวนการดำเนินงานของบริษัท และเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่ถูกต้องตามฎหมาย และ / หรือ เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อการดำเนินงานของบริษัท โดยบริษัทจะจัดเก็บและใช้ข้อมูลดังกล่าวตามระยะเวลาเท่าที่จำเป็น และตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งเจ้าของข้อมูล หรือตามที่กฏหมายกำหนดไว้เท่านั้น บริษัทจะไม่ทำการใดๆ แตกต่างจากที่ระบุในวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลเว้นแต่
5.1.ได้แจ้งวัตถุประสงค์ใหม่ให้แก่เจ้าของข้อมูลทราบ และได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
5.2.เป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคล หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
6.สิทธิต่างๆของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลและช่องทางในการใช้สิทธิ (ตามแบบคำร้องขอใช้สิทธิ)
6.1.สิทธิในการเพิกถอนความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไว้แล้ว ทั้งนี้การเพิกถอนความยินยอมต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไว้แล้ว
6.2.สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและขอทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการขอให้เปิดเผยแหล่งได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้ให้ยินยอม หากเจ้าของข้อมูลเป็นพนักงานปัจจุบันของบริษัท เจ้าของข้อมูลสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยตนเองผ่านโปรแกรม HRMI ของบริษัท โดยจะต้องระบุ “รหัสผู้ใช้งาน” และ “Password” ทุกครั้งก่อนการใช้งาน
6.3.สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง
6.4.สิทธิในการขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล หากเจ้าของข้อมูลเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลถูกรวบรวม ใช้ และเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเห็นว่าบริษัทไม่มีความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในนโยบายฉบับนี้
6.5.สิทธิในการขอระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างการตรวจสอบคำร้องขอให้สิทธิแก้ไข หรือ ขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล หรือกรณีที่บริษัทไม่มีความจำเป็น และต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่เจ้าของข้อมูลขอให้บริษัท ระงับการใช้แทน
6.6.สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีที่บริษัทได้ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติและสามารถใช้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่สามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรงเว้นแต่โดยสภาพทางเทคนิคไม่สามารถทำได้
6.7.สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลเว้นแต่เป็นกรณีที่บริษัทสามารถแสดงให้เห็นถึงเหตุอันชอบด้วยกฎหมายที่มีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของเจ้าของข้อมูล หรือเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่กรณี
7.การเก็บรักษาความปลอดภัยสำหรับข้อมูลส่วนบุคคล
7.1.กำหนดสิทธิในการเข้าถึง การใช้ การเปิดเผย การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการแสดงหรือยืนยันตัวบุคคล ผู้เข้าถึง หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลตามนโยบายด้านความปลอดภัยระบบงาน IT ของบริษัทอย่างเคร่งครัด
7.2.กำหนดให้พนักงานหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล ต้องให้ความสำคัญและรับผิดชอบในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยมีหน่วยงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และบุคคลและบริหารกลางทำหน้าที่กำกับดูแลภาพรวมตามนโยบายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิผล
7.3.ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนมาตรการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของบริษัท จนเป็นเหตุให้มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจะดำเนินการแจ้งเจ้าของข้อมูลให้ทราบโดยเร็วที่สุด
7.4.บริษัทมีการดำเนินการสอบทานและประเมินสิทธิภาพของระบบรักษาข้อมูลส่วนบุคคลโดยหน่วยงานตรวจสอบภายใน
8.การทบทวน และเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทอาจทำการปรับปรุงหรือแก้ไขนโยบายนี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ โดยบริษัทจะประกาศแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ทราบอย่างชัดเจน ก่อนจะดำเนินการเปลี่ยนแปลง โดยการประกาศข้อมูลลงในเว็บไซต์ของบริษัท www.saleecolour.com
9.ช่องทางในการติดต่อบริษัท และเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หากเจ้าของข้อมูลมีข้อเสนอแนะ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดการเก็บรวบรวม ใช้ และ / หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการขอใช้สิทธิตามนโยบายฉบับนี้ เจ้าของข้อมูลสามารถติดต่อบริษัทได้ผ่านช่องทางดังนี้
บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
เลขที่ 858 หมู่ 2 ซอย 1C/1 นิคมอุตสาหกรรมบางปู ต.บางปูใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 10280
Email : mattana@saleecolour.com , adirek_m@saleecolour.com
โทร : 02-323-2601 ต่อ 4066 (วันเวลาทำการ จันทร์ – ศุกร์ 08.00น. – 16.00น.)
ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป
ประกาศนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวและแบบฟอร์มการให้ความยินยอม
สำหรับบริษัทคู่ค้า คู่สัญญา (แก้ไขครั้งที่ 1)
บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (“บริษัทฯ”) มีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมใช้ เปิดเผย โอน และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป (“ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป”) และข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (“ข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว”)(เรียกรวมกันว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล” ) ของท่านดังต่อไปนี้
วัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะถูกเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย โอน และประมวลผลเท่าที่จำเป็นสำหรับวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
- การลงทะเบียนคู่ค้า คู่ธุรกิจของบริษัทฯ
- การพิจารณาและอนุมัติเครดิตในการทำสัญญา และการประกอบธุรกิจ
- การก่อตั้ง พัฒนา จัดการ ดำรงไว้ หรือเข้าตกลงในเรื่องการสิ้นสุดซึ่งความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างท่านกับบริษัทฯ
- การดำเนินการจัดหาสินค้า/บริการ
- การดำเนินการตรวจสอบและยืนยันคำสั่งซื้อ (PO)
- การทำสัญญาจ้างทำของ สัญญาบริการ สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อ สัญญาเปิดเครดิต/อนุมัติเครดิต/ให้เครดิต
- สัญญาสินเชื่อ สัญญาใดๆ การค้ำประกัน การวางทรัพย์สินเพื่อเป็นประกัน จำนอง จำนำ รวมถึง การปฎิบัติตามสัญญาต่างๆ
- การเคลม การคืนทรัพย์สิน การส่งมอบทรัพย์สิน การรับมอบทรัพย์สิน
- การดำเนินขั้นตอนการชำระเงิน การรับชำระเงินค่าสินค้า ค่าจ้าง ค่าบริการ ค่าเช่า ค่าปรับ เบี้ยปรับ และ ค่าธรรมเนียมต่างๆ
- การวิเคราะห์ข้อมูลการประมวลผล
- การปฎิบัติและการรักษาสิทธิตามกฎหมาย
- การติดต่อและการสื่อสารทางการตลาด
- การประกอบกิจการหรือการทำธุรกิจร่วมกัน
- การตรวจสอบบัญชี
ผลกระทบหากบริษัทฯ ไม่ได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
หากปราศจากข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ระบุไว้ข้างต้น บริษัทฯ จะไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นได้
การเปิดเผยหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทฯ จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัดและจะไม่เปิดเผยหรือโอนข้อมูลดังกล่าวให้บุคคลภายนอก เว้นแต่บริษัทฯ จะได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่านหรือได้รับคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอานาจ บริษัทฯ อาจเปิดเผยหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านแก่บุคคลภายนอกในกรณีดังต่อไปนี้
- ในกรณีที่ต้องมีการเปิดเผยหรือโอนข้อมูลดังกล่าวตามที่กฎหมายกำหนด หรือเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจ
- ในกรณีที่จำเป็นต้องมีการเปิดเผยหรือโอนข้อมูลเพื่อหรือที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกระบวนการใด ๆ ทางกฎหมายที่บริษัทฯ เป็นคู่กรณี หรือโดยประการอื่นเพื่อการก่อตั้ง การใช้ หรือปกป้องสิทธิตามกฎหมายของบริษัทฯ
- ในกรณีที่บริษัทฯ เชื่อว่าการเปิดเผยหรือโอนข้อมูลนั้นจำเป็นเพื่อป้องกันอันตราย หรือความเสียหายทางการเงิน หรือเกี่ยวข้องกับการสอบสวนการประพฤติมิชอบหรือการกระทำผิดทางอาญาไม่ว่าจะเป็นที่ต้องสงสัยหรือที่เกิดขึ้นจริงก็ตาม และ/หรือ
- ในกรณีที่บริษัทฯ ขายหรือโอนธุรกิจหรือทรัพย์สิน ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ๆ รวมถึง การควบรวมและการซื้อกิจการ การปรับโครงสร้างกิจการ การแยกกิจการ การเลิกกิจการ หรือ การชำระบัญชี
- บริษัทในกลุ่มหรือบริษัทย่อย
- ธนาคารพาณิชย์
- สำนักงานตรวจสอบบัญชี
- การทำประกันภัย
- บุคคลอื่นตามที่กฎหมายกำหนดหรือตามคำสั่งศาล
การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศ
บริษัทฯ อาจจะส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทฯ เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยไปยังต่างประเทศ ภายใต้การกระทำตามสัญญาระหว่างบริษัทฯ กับบริษัทแม่ และ/หรือบริษัทย่อย บริษัทในกลุ่ม เพื่อประโยชน์ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือเพื่อการประกอบกิจการหรือการประกอบธุรกิจร่วมกัน โดยประเทศปลายทางหรือองค์กรระหว่างประเทศที่รับข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีมาตรฐานการคุ้มครองส่วนบุคคลที่เพียงพอ ทั้งนี้จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามกฏหมายกำหนด
ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล
บริษัทฯ จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็น เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ตามประเภทการใช้ เว้นแต่กฎหมายจะบังคับให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่ยาวขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลตามระยะเวลามาตรฐาน หรือตามที่กฎหมายกำหนด แต่สูงสุดไม่เกิน 10 ปี หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบริษัทฯ สิ้นสุดลง และบริษัทฯ จะทำลายข้อมูลทันทีที่พ้นระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล อนึ่ง บริษัทฯ ขอรับรองว่าจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ในที่ปลอดภัย ซึ่งเฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้
สิทธิของท่านเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท ขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอม ขอให้ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล มีสิทธิ คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน มีสิทธิขอให้ดำเนินการลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ ขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจผิด หากมีการร้องเรียนในกรณีที่บริษัทฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิของท่านเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในนโยบายความเป็นส่วนตัวของบริษัทฯ ได้ที่ เว็บไซต์ www.saleecolour.com
หากท่านมีความประสงค์จะขอข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติม หรือใช้สิทธิใด ๆ ของท่านที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล ท่านสามารถติดต่อได้ที่ “คณะทำงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” โทร. 02-323-2601-8 ดังนี้:
สำหรับผู้จัดจำหน่ายติดต่อ:
ผู้ประสานงาน : คุณณปภัช โคตรสมบัติ เบอร์ต่อภายใน 3012 E-mail: napaphat_k@saleecolour.com
สำหรับลูกค้าติดต่อ:
ผู้ประสานงาน : คุณปิยวดี ศรีประกฤติ เบอร์ต่อภายใน 4058 E-mail: nuch@saleecolour.com
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป